ก่อนที่จะใช้ระบบ ERP เจ้าของธุรกิจประสบปัญหากับการบริหารจัดการข้อมูลและกระบวนการที่ซับซ้อนและกระจัดกระจาย ทีมงานต้องทำงานซ้ำซ้อน และเกิดข้อผิดพลาดบ่อยครั้ง ความล่าช้าในการรายงานทำให้ไม่สามารถวางแผนได้ทันเวลา ระบบปัจจุบันยังไม่สามารถรองรับการเติบโตของธุรกิจได้ นอกจากนี้ ความปลอดภัยของข้อมูลก็อยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง
1. ข้อมูลแยกเป็นส่วน ๆ และกระจัดกระจาย
- ระบบซอฟต์แวร์หลายตัวที่ไม่เชื่อมต่อกันทำให้ทีมงานต้องเสียเวลาในการรวบรวมและประมวลผลข้อมูล
- เกิดข้อผิดพลาดจากการกรอกข้อมูลซ้ำหรือการถ่ายโอนข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์
2. การรายงานทางการเงินที่ไม่มีประสิทธิภาพ
- การรวบรวมข้อมูลการเงินต้องอาศัยกระบวนการที่ใช้เวลานานและมีโอกาสเกิดความผิดพลาด
- ผู้บริหารขาดข้อมูลที่ทันเวลา ทำให้ไม่สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับการเงินได้อย่างแม่นยำ
3. ปัญหาการปฏิบัติตามข้อกำหนด
- การคำนวณและปฏิบัติตามข้อกำหนดทางภาษีและกฎหมายมีความซับซ้อน
- ความผิดพลาดในกระบวนการอาจนำไปสู่การถูกปรับหรือเสียค่าปรับ
4. การจัดการสินค้าคงคลังและทรัพยากร
- สินค้าคงคลังไม่สมดุลเนื่องจากขาดข้อมูลการขายและการเงินแบบเรียลไทม์
- อาจมีการจัดสต๊อกสินค้ามากเกินไปหรือน้อยเกินไปจนเสียโอกาสทางธุรกิจ
5. การมาตรฐานกระบวนการ
- ขาดกระบวนการที่เป็นระบบระเบียบและมีมาตรฐานในทุกแผนก
- ยากที่จะตรวจสอบหรือกำกับดูแลเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความสม่ำเสมอ
6. การเติบโตและขยายตัว
- ข้อมูลการเงินมีปริมาณมากขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อธุรกิจขยายตัว ทำให้เกิดความซับซ้อน
- ระบบเดิมไม่สามารถรองรับปริมาณข้อมูลและความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้
7. ความกังวลด้านความปลอดภัย
การจัดเก็บข้อมูลในหลายแพลตฟอร์มทำให้มีโอกาสสูงที่จะเกิดการรั่วไหลหรือสูญหาย
การรวมศูนย์ข้อมูลไว้ใน ERP สามารถเพิ่มความปลอดภัยได้มากขึ้น
การใช้ระบบ ERP สามารถช่วยให้เจ้าของธุรกิจมีวิธีการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความซับซ้อนและข้อผิดพลาดในการดำเนินงาน ทำให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและทันเวลา รวมถึงการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานได้อย่างสมบูรณ์ ระบบ ERP ยังทำให้กระบวนการทำงานเป็นมาตรฐานและคล่องตัวมากขึ้น ช่วยในการเติบโตและขยายธุรกิจอย่างมั่นคง รวมถึงเพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูลทางการเงินของบริษัท