รู้จักกับ OEE คืออะไร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตได้อย่างไร
การทำธุรกิจในปัจจุบันนั้นมีการแข่งขันที่สูงขึ้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการวัดผลและวิเคราะห์กระบวนการผลิต OEE คือ หนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถติดตามและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตได้อย่างเป็นระบบ บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ OEE และวิธีการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
OEE คืออะไร
OEE (Overall Equipment Effectiveness) เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่องจักรและอุปกรณ์ในกระบวนการผลิต โดย OEE คือ เครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวิเคราะห์และระบุจุดที่ต้องปรับปรุงในกระบวนการผลิตได้อย่างแม่นยำ ทำให้สามารถวางแผนการปรับปรุงและพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เปรียบเสมือนการตรวจสุขภาพของเครื่องจักรที่ช่วยให้เราทราบถึงสถานะและความพร้อมในการทำงานได้อย่างชัดเจนมากขึ้น
องค์ประกอบของ OEE มีอะไรบ้าง
OEE คือ การวัดประสิทธิภาพที่ประกอบด้วย 3 ปัจจัยหลักที่สำคัญ ซึ่งแต่ละปัจจัยมีผลต่อประสิทธิภาพการผลิตโดยรวม การเข้าใจองค์ประกอบเหล่านี้จะช่วยให้สามารถวิเคราะห์และปรับปรุงกระบวนการผลิตได้อย่างตรงจุด
การใช้งาน
อัตราการใช้งาน (Availability) เป็นการวัดประสิทธิภาพด้านเวลาการทำงานของเครื่องจักร โดยพิจารณาจากสัดส่วนระหว่างเวลาที่เครื่องจักรทำงานจริงเทียบกับเวลาที่วางแผนไว้ รวมถึงการหยุดเครื่องจักรโดยไม่ได้วางแผน เช่น การซ่อมแซมฉุกเฉิน หรือการปรับตั้งเครื่องที่ใช้เวลานาน จะส่งผลให้อัตราในการใช้งานลดลง
ประสิทธิภาพ
ประสิทธิภาพ (Performance) เป็นตัวชี้วัดที่แสดงถึงความสามารถในการผลิตของเครื่องจักรเมื่อเทียบกับความเร็วมาตรฐานที่ออกแบบไว้ การวัดค่านี้จะพิจารณาจากอัตราการผลิตจริงเทียบกับอัตราการผลิตที่ควรจะเป็นตามทฤษฎี ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพ เช่น การเดินเครื่องช้ากว่าปกติ เครื่องจักรหยุดชะงัก หรือการปรับตั้งเครื่องที่ไม่เหมาะสม
คุณภาพ
คุณภาพ (Quality) เป็นการวัดอัตราส่วนของผลผลิตที่มีคุณภาพได้มาตรฐานเทียบกับปริมาณการผลิตทั้งหมด ค่านี้จะสะท้อนถึงความสามารถในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพตามข้อกำหนด โดยพิจารณาจากจำนวนของเสีย การแก้ไขงาน หรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนและประสิทธิภาพการผลิตโดยรวม
การคำนวณหา OEE
OEE คือ ผลคูณของตัวชี้วัดทั้งสามองค์ประกอบ โดยมีสูตรการคำนวณดังนี้
OEE = Availability x Performance x Quality
โดยแต่ละองค์ประกอบมีวิธีการคำนวณดังนี้
- Availability (อัตราการใช้งาน)
- Availability = เวลาเดินเครื่องจริง / เวลาที่วางแผนการผลิต
- เวลาเดินเครื่องจริง = เวลาที่วางแผนการผลิต - เวลาหยุดเครื่อง
- Performance (ประสิทธิภาพ)
- Performance = (จำนวนชิ้นงานที่ผลิตได้ × เวลามาตรฐานต่อชิ้น) / เวลาเดินเครื่องจริง
- Quality (คุณภาพ)
- Quality = จำนวนชิ้นงานที่ดี / จำนวนชิ้นงานที่ผลิตทั้งหมด
ประโยชน์ของ OEE ในภาคอุตสาหกรรม
- ช่วยในการระบุและวิเคราะห์ปัญหาในกระบวนการผลิตได้อย่างเป็นระบบ
- เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรและเครื่องจักร ลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต
- สนับสนุนการตัดสินใจในการปรับปรุงและพัฒนากระบวนการผลิต
- ช่วยในการวางแผนการบำรุงรักษาเชิงป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เป็นเครื่องมือในการเปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่างสายการผลิตหรือโรงงาน
- สนับสนุนการกำหนดเป้าหมายและการวัดผลการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
ผลกระทบเมื่อค่า OEE ต่ำ
เมื่อค่า OEE ต่ำผู้ประกอบการจะต้องรีบหาทางแก้ไขปัญหาโดยด่วน เพราะเมื่อค่า OEE ต่ำลงจะส่งผลกระทบต่อการผลิตในทุก ๆ ด้าน มีตั้งแต่ผลกระทบระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ดังนี้
ผลกระทบระยะสั้น
ค่า OEE ที่ต่ำส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินงานประจำวัน ทำให้เกิดความล่าช้าในการส่งมอบ ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ไม่สม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังส่งผลต่อขวัญกำลังใจของพนักงานและความพึงพอใจของลูกค้าในระยะสั้น
ผลกระทบระยะกลาง
เมื่อค่า OEE ต่ำลงจะส่งผลในระยะกลางคือความสามารถในการแข่งขัน ทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจ และอาจต้องเพิ่มการลงทุนในการปรับปรุงเครื่องจักรและกระบวนการผลิต รวมถึงการฝึกอบรมพนักงานเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
ผลกระทบระยะยาว
ผลกระทบระยะยาวของ OEE ที่ต่ำจะส่งผลต่อความยั่งยืนของธุรกิจ ทำให้สูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาด ความน่าเชื่อถือในอุตสาหกรรม และความสามารถในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียความสามารถในการแข่งขันอย่างถาวร
สรุป
OEE คือ เครื่องมือในการวัดและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต การเข้าใจและใช้งาน OEE จะช่วยให้องค์กรสามารถระบุเรื่องที่ควรปรับปรุง เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้ ในปัจจุบันการติดตามและวิเคราะห์ค่า OEE สามารถทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้นผ่านระบบ ERP โดยเฉพาะระบบ Odoo ที่ช่วยรวบรวมและประมวลผลข้อมูลการผลิตแบบเรียลไทม์ ทำให้ผู้บริหารสามารถมองเห็นภาพรวมของประสิทธิภาพการผลิต และตัดสินใจปรับแผนการทำงานได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
การนำระบบ ERP มาใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ OEE จะช่วยให้องค์กรสามารถติดตามตัวชี้วัดสำคัญได้อย่างต่อเนื่อง วิเคราะห์แนวโน้มและรูปแบบการผลิต รวมถึงระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ ด้วยความสามารถของ Odoo ในการเชื่อมโยงข้อมูลจากทุกส่วนของกระบวนการผลิต องค์กรจะสามารถพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต ช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้ในระยะยาว